เล็งเสนอให้อนุญาตปลูก 'กระท่อม' ใช้รักษาโรค-ปลูกแบบวิถีชาวบ้าน

เล็งเสนอให้อนุญาตปลูก 'กระท่อม' ใช้รักษาโรค-ปลูกแบบวิถีชาวบ้าน









พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ รองปลัดกระทรวงยุติธรรม เผยถึงการพิจารณามาตรการทางกฎหมายในการควบคุมเมทแอมเฟตามีนและอนุพันธ์ ให้สอดคล้องกับทิศทางการดำเนินการด้านยาเสพติดโลก โดยมุ่งหมายกำหนดให้ยาเสพติดแต่ละประเภทที่ใช้ประโยชน์ต้องได้รับการปฏิบัติที่เหมาะสม ไม่เหมารวม อีกทั้งกฎหมายบางบทบัญญัติขัดกับวิถีชีวิต จำเป็นต้องปรับปรุงให้ผ่อนคลาย ความเข้มงวดและสะท้อนความเป็นจริงได้ หรือเปิดช่องให้มีการศึกษาวิจัยง่ายขึ้น ซึ่งผลการศึกษาเกี่ยวกับมาตรการในการควบคุมพืชเสพติดได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว

โดยสาระสำคัญคือพืชกระท่อม กำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 แต่ผ่อนปรนให้สามารถใช้แบบวิถีชาวบ้าน และเปิดช่องให้สามารถขออนุญาตศึกษาวิจัยเพื่อใช้ประโยชน์ในทางการแพทย์ได้คล่องตัวมากยิ่งขึ้น

ส่วนกัญชา กำหนดให้เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 5 โดยจะเปิดช่องให้สามารถขออนุญาตศึกษาวิจัยกัญชา ได้สะดวกมากขึ้นเช่นเดียวกับพืชกระท่อม ซึ่งหลักการนี้ได้นำไปกำหนดไว้ในร่างประมวลกฎหมายยาเสพติดซึ่งอยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการกฤษฎีกาแล้ว

ประวัตินักบุญเปโตรSt. Peter's Basilica

ประวัตินักบุญเปโตรSt. Peter's Basilica

ประวัตินักบุญเปโตร

St. Peter's Basilica


นักบุญเปโตร อัครสาวก

ศตวรรษที่ 1

( ฉลองวันที่  29  มิถุนายน)
นักบุญเปโตร (St.Simon Peter) เดิมชื่อ “ซีโมน” เป็นชาวประมงคนหนึ่งของตำบลเบธไซดา ใกล้ทะเลสาบทิเบเรียสบิดาชื่อยอห์น หรือโยนา มีอาชีพเป็นชาวประมง แต่ต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาเปอร์นาอุม (มก 1:21,29) นักบุญอันดรูว์น้องชายของท่านได้เป็นคนแนะนำมาให้ติดตามพระเยซูเจ้า “เราพบพระเมสสิยาห์แล้ว” เมื่อพบกับพระเยซูเจ้าแล้วพระองค์ทอดพระเนตรเห็นเขา จึงตรัสว่า “ท่านคือซีโมน บุตรของยอห์น ท่านจะมีชื่อว่า ‘เคฟาส’ แปลว่า ‘เปโตร’ หรือ ‘ศิลา’” (ยน 1:42)และคราวหนึ่งพระเยซูตรัสถามท่านว่า “ท่านล่ะคิดว่าเราเป็นใคร” ซีมอน เปโตรได้ทูลตอบว่า “พระองค์คือพระคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงชีวิต” พระเยซูเจ้าตรัสตอบเขาว่า “ซีโมน บุตรของยอห์น ท่านเป็นสุขเพราะมิใช่มนุษย์ที่เปิดเผยให้ท่านรู้ แต่พระบิดาเจ้าของเราผู้สถิตในสวรรค์ทรงเปิดเผย เราบอกท่านว่า ท่านคือศิลา และบนศิลานี้ เราจะตั้งพระศาสนจักรของเรา ประตูนรกจะไม่มีวันชนะพระศาสนจักรได้เราจะมอบกุญแจอาณาจักรสวรรค์ให้ทุกสิ่งที่ท่านจะผูกบนแผ่นดินนี้จะผูกไว้ในสวรรค์ด้วยทุกสิ่งที่ท่านจะแก้ในแผ่นดินนี้ ก็จะแก้ในสวรรค์ด้วย...” (มธ 16:19) ลักษณะนิสัยของเปโตรเป็นคนค่อนข้างมุทะลุแตก็จริงใจ และจะเห็นได้ว่าบทบาทของท่านนักบุญเปโตรนั้นเด่นกว่าใครๆ จนพระเยซูเจ้าเองก็วางพระทัย เพราะลักษณะนิสัยที่แม้จะมุทะลุแต่ก็ซื่อสัตย์และจริงใจ ท่านเป็นผู้ที่พระเยซูเจ้าไว้ใจมากจึงทรงมอบอำนาจให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่งของพระองค์ เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว ท่านเปโตรเป็นผู้ที่เข้มแข็ง...ท่านถูกจองจำแต่ทูตสวรรค์นำท่านออกไปจากที่คุมขังได้ ท่านเทศน์สอนอย่างกล้าหาญด้วยการนำของพระจิตเจ้า นักบุญเปโตรออกจากกรุงโรมเพราะทางการตามจับตัวท่าน แต่ระหว่างทางท่านได้พบพระเยซูเจ้าดำเนินสวนทางมาจึงทูลถามพระองค์จะเสด็จไปไหน พระเยซูเจ้าตรัสตอบว่า จะไปให้เขาตรึงบนไม้กางเขนอีกครั้งหนึ่ง ทันทีเปโตรเข้าใจว่าเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าที่ต้องการให้ท่านพลีชีพเป็นพยานถึงพระองค์จึงได้เดินย้อนกลับไปที่โรมและต่อมาท่านถูกจับตรึงไม้กางเขนท่านได้บอกเพชฌฆาตว่าตนเองไม่เหมาะสมจะได้รับการตรึงในลักษณะเดียวกับพระเยซูเจ้าซึ่งเป็นพระอาจารย์จึงขอให้ตรึงท่านโดยเอาศีรษะลง ประมาณปี ค.ศ. 67 ได้มีการขุดหลุมฝังพระศพของท่าน พระศพของอัครสาวกเปโตรได้ถูกฝังบนเนินนี้เอง ซึ่งในเวลาต่อมาได้ใช้เป็นสถานที่สร้างมหาวิหารนักบุญเปโตรหลังปัจจุบัน อัครสาวกเปโตรได้รับการต้อนรับอย่างดีจากคริสตชนชาวโรม และยกย่องท่านเป็นพระสังฆราชองค์แรกของโรม
แย่แล้ว! ขับรถไม่มีใบขับขี่ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุ ประกันรับผิดชอบหรือไม่

แย่แล้ว! ขับรถไม่มีใบขับขี่ แต่ดันเกิดอุบัติเหตุ ประกันรับผิดชอบหรือไม่



ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนนะคะ ว่า “ความผิดฐานขับรถยนต์ โดยไม่มีใบอนุญาตขับขี่ รัฐเป็นผู้เสียหาย ไม่ใช่คู่กรณี แต่ถ้าหากว่าเราถูกรถชน และรถของเราเสียหาย เจ้าของรถยนต์ย่อมมิสิทธิเรียกร้องให้ชดใช้ค่าเสียหายจากคู่กรณีได้ โดยไม่ต้องคำนึงถึงเรื่องผู้ขับขี่มีใบอนุญาตขับขี่หรือไม่ จึงเกิดคำถามที่ว่าในกรณีนี้ ประกันภัยจะคุ้มครองเราได้อย่างไรบ้าง วันนี้เรามีคำตอบให้ค่ะ
กรณีหากเราเป็นฝ่ายถูก
หากเราเป็นฝ่ายถูก แต่เราไม่มีใบอนุญาตขับขี่ ประกันภัยของคู่กรณีจะเป็นผู้รับผิดชอบซ่อมรถให้เราเสมอค่ะ
กรณีหากเราเป็นฝ่ายผิด
ในกรณีหากเราเป็นฝ่ายผิด บริษัทประกันภัยรถยนต์จะรับผิดชอบความเสียหายให้เราอยู่แล้ว แต่ถ้าหากว่าเราไม่มีใบขับขี่ และเกิดอุบัติเหตุขึ้นนั้น รถของเราและคู่กรณีจะได้รับความคุ้มครองหรือไม่
  1. ไม่เคยมีใบขับขี่ หรือ ไม่เคยสอบใบขับขี่มาก่อน กรณีนี้เป็นข้อยกเว้นความรับผิดของบริษัทประกันภัยค่ะ แต่เฉพาะความเสียหายของตัวรถเท่านั้น ส่วนความเสียหายของบุคคลภายนอก เช่น ชีวิต ทรัพย์สิน และร่างกาย บริษัทประกันยังคงต้องรับผิด ชดใช้ความเสียหายให้แก่บุคคลภายนอกตามกรมธรรม์ แม้ผู้ขับขี่รถที่ทำประกันในขณะเกิดเหตุ จะไม่มีใบขับขี่ก็ตาม
  2. คนขับมีใบขับขี่ แต่ไม่ได้พกขณะขับขี่ กรณีนี้ บริษัทประกันคุ้มครองทั้งรถเรา และคู่กรณี
  3. คนขับพกใบขับขี่ แต่ใบขับขี่หมดอายุ กรณีนี้ บริษัทประกันคุ้มครองทั้งรถเรา และคู่กรณี
  4. คนขับไม่พกใบขับขี่ เพราะใบขับขี่ถูกยึด กรณีนี้ บริษัทประกันคุ้มครองทั้งรถเรา และคู่กรณี
ดังนั้น สรุปได้ดังว่า ประกันจะไม่คุ้มครองการขับขี่โดยบุคคลที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาตขับขี่ใด ๆ หรือเคยได้รับ แต่ถูกตัดสิทธิตามกฎหมายเท่านั้น
*** รถมีประกันชั้น 2 -3 ธรรมดา ไม่ต้องกังวลใดๆ ท่านจะขับชนอะไรก็ตาม ไม่ต้องมีใบขับขี่ประกันต้องรับผิดชอบหมด ยกเว้นชั้น 2 กรณีรถหายหรือไฟไหม้จำเป็นต้องมี*** รถที่มีประกันชั้น 2-3 พลัส หรือ ประเภท 5 ลักษณะเดียวกับประกันชั้น 1 แต่จะแตกต่างตรงที่จะต้องเป็นรถชนรถ รถที่มีป้ายทะเบียนเท่านั้น จักรยาน ซาเล้ง ไม่เกี่ยว รถชนรถ มีใบขับขี่ก็ซ่อมทั้งคู่ ไม่มีก็ซ่อมเฉพาะทรัพย์ที่เราชน
………………………..
2. เมาสุรากับประกันภัย ไม่ต้องกังวลใดๆครับ เงื่อนไข ของประกันภัย จะไม่รับผิดชอบให้ท่านต่อเมื่อท่านเมาในระดับแอลกอออล์เกิน 150 เพราะฉนั้นท่าท่านเมาไม่มากสิ่งที่ระวังคือตำรวจ พยายามหลีกเลี่ยงการขึ้นโรงพัก การเป่าอลกอฮอล์ เมื่อเกิดเหตุ รุนแรงขนาดเข้าโรงบาล อย่าให้พยาบาลเจาะเลือดท่าน ถ้าไม่มีหลักฐานการตรวจประกันต้องจ่ายสถานเดียว จำไว้ถ้าท่าน ไม่เมาจนเกินลิมิตประกันจ่ายคุณแน่แต่ระวังข้อหาเมาแล้วขับก็พอ (ผมเคยเมาแล้วโดนเป่า ออกมาได้ 187 เรียกว่าขับรถไม่ได้แล้วครับ) ใบขับขี่ไม่ต้องซีเรียส โดนจับก็แค่ปรับ
………………………….
3. โดนชนแล้วหนีท่านที่มีประกันชั้น 1 หรือ 2–3 พลัส หากโดนชนแล้วหนีท่านต้องจำทะเบียนรถคันนั้นให้ได้ แล้วเตรียมใบขับขี่ ถ้าไม่มี ให้หาคนมีใบขับขี่เอาไว้แล้วไปแจ้งความที่ สน ท้องที่นั้น นำใบแจ้งความมาแล้วโทรแจ้งประกัน ประกันจะส่งพนักงาน เครมมาเครมให้ ถ้าท่านไม่ทราบเลขทะเบียนของคนที่ชนท่าน สำหรับประกันชั้น 1 ให้แจ้งเป็นชนโน่นชนนี่ไม่มีคู่กรณี ตามสภาพบาดแผลที่น่าจะเป็น สำหรับ 2-3 พลัส …. อดไป
………………………….
4. เลขทะเบียน เลขเครื่อง สีรถ ภาษีขาด อธิบายสั้นๆง่ายๆว่าประกันยึดถือเลขตัวถังรถเป็นหลัก ไม่ว่าป้ายไม่ตรง เลขเครื่องไม่ตรง สีไม่ตรง ภาษีขาดต่อ ไม่เกี่ยวข้อง กับประกันภัย ไม่ต้องซีเรียส ไม่ต้องกลัวประกันไม่จ่าย หากเลขตัวรถท่านตรงเป็นอัน แฮปปี้ ยกเว้นกรณีที่ประกันหาเลข ตัวถังรถท่านไม่เจอ ประกันอาจขูดเลขเครื่องของท่านแทน
…………………
5. ใบขับขี่โดนยึด หมดอายุ หายหากใบขับขี่โดนยึดให้แสดงใบสั่งแทน ประกันยึดถือแค่ว่าจะไม่คุ้มครองผู้ที่ไม่เคยได้รับใบอนุญาติ เท่านั้น หากหมดอายุก็แสดงไปใช้ได้ไม่มีปัญหา หากโดนยึดก็แสดงใบสั่ง หากหายถ้ามีสำเนาก็แสดงสำเนาหรือหากไม่มีในวันนั้นในวันที่เอารถเข้าซ่อมก็เตรียมไปด้วยไม่งั้นอดซ่อม และหากหายและไม่มีสำเนาก็ไปทำมาซะแต่ตอนเกิดเหตุต้องแจ้งว่ามีไว้ก่อน ไม่ได้เอามาหรืออะไรก็ว่าไปมีเวลาเรื่อยๆจนกว่าท่านเอารถเข้าซ่อม
…………………..

6.เวลาเกิดเหตุกลางถนนหากตกลงกันได้ว่าใครผิดใครถูก คนผิดยอมรับผิด ให้เคลื่อนย้ายรถออกจากที่เกิดเหตุทันที อย่าไปจอดเกะกะชาวบ้าน ไม่จำเป็นต้องรอประกันมาถึง หากไม่รู้ใครผิดให้ตำรวจตัดสินแล้วย้ายรถออกได้ หรือไม่มีตำรวจหากบังเอิญพกสีสเปร์มา ให้พ่นตำแหน่งที่ล้อทั้ง 2 คัน และบริเวณหน้า+ท้าย+ข้างของรถทั้ง 2 คัน ไม่จำเป็นต้องไปโรงพักหากคุยกันได้ ยกเว้นการชนที่มีคู่กรณีมากกว่า 2 คัน ถึงต้องไปโรงพัก และคนที่ผิดต้องโดนปรับข้อหาขับรถโดยประมาท
………………….


7. ช่วงล่างกระแทกพัง แมกซ์ดุ้ง ยางระเบิด และ อุปกรณ์ตกแต่งรถยนต์ประกันชั้น 1 ต้องจ่ายให้ท่านทุกกรณีแต่ต้องมีใบขับขี่ หากท่านมีอุปกรณ์ตกแต่งราคาแพงต้องการคุ้มครองกรณีสูญหายให้ท่านเตรียมใบเสร็จจากที่ร้านที่ท่านติดตั้ง เช่น แมกซ์ เครื่องเสียง แล้วโทรสอบถามเงื่อนไขการประกันภัย ให้ประกันเพิ่มสลักหลังคุ้มครองอุปกรณ์ตกแต่งนั้นๆ ประกันจะคิดเบี้ยท่านเพิ่มแต่ไม่มาก แต่ถ้าไม่ซีเรียสเรื่องหายก็ไม่ต้อง เพราะหากแค่เสียหายก็ยังเหลือซากให้เห็นอยู่แล้ว ยางที่ถูกกระแทกจนระเบิดประกันจะจ่ายครึ่งเดียวครับ พวกยางแพงๆขอบ 19-20 ก็จัดไปส่วนที่เป็น 2-3 พลัส อดครับ เว้นแต่ความเสียหายนั้นสืบเนื่องมากจากการชนกับของรถที่มีทะเบียน -เช่น รถท่านโดนปาดหน้าจนเสียหลักพุ่งชนต้นไม้ ตกคลอง กระแทกฟุตบาต แบบนี้ประกันก็ต้องวซ่อมให้ท่านครับไม่ใช่แค่แผลที่เกิดจากการปะทะระหว่างรถกับรถ
พลิกปูมชีวิต-ปิดตำนาน"จ๊อด กองปราบ"...เขาคือใคร?

พลิกปูมชีวิต-ปิดตำนาน"จ๊อด กองปราบ"...เขาคือใคร?


ไม่มีใครคาดคิดว่า ในงานบำเพ็ญกุศลสวดพระอภิธรรมศพนายอุดร ภู่ระหงษ์ อายุ 29 ปี สมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล( อบต.)บ้านอิฐ บนศาลการเปรียญวัดสุธาดล หมู่ 7 ต.บ้านอิฐ อ.เมือง จ.อ่างทอง ของคืนวันที่ 31 ธ.ค.2552 อันเป็นคืนส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ 2553 จะเกิดโศกนาฏกรรมขึ้นบนศาลาการเปรียญแห่งนี้
       
       ราว 3 ทุ่มของคืนวันที่ 31 ธ.ค. นายปทุม อยู่ประเสริฐ อายุ 76 ปี ชาวบ้านหมู่ 3 ต.บ้านรี อ.เมือง จ.อ่างทอง ก่อเหตุไม่คาดคิดขึ้นภายในเขตอภัยทาน โดยนายปทุมใช้อาวุธปืนยิง ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง หรือ จ๊อด กองปราบ นายก อบต.บ้านอิฐ เข้าที่ศีรษะ 3 นัด และนายอนุชา จันทร์จรูญ หรือเอิร์ท อายุ 22 ปี ลูกน้องคนสนิทของจ๊อด กองปราบ ถูกยิงเข้าที่ศีรษะ 2 นัด รวมทั้งนายอนุชา หรือ โจ สินทรัพย์สกุล อายุ 34 ปี ลูกน้องอีกคน ถูกยิงเข้าที่หน้าอก 2 นัด และเข้าที่หลังอีก 2 นัด ไปสิ้นใจตายที่โรงพยาบาล
       
       วันรุ่งขึ้น หน้า 1 หนังสือพิมพ์เกือบทุกฉบับพาดหัวข่าว"ดับจ๊อด กองปราบพวกพวกรวม 3 ศพ" พร้อมรายละเอียดข่าว รวมทั้งการคาดเดาประเด็นปมสังหารไปต่างๆนานา จนปัจจุบันเกือบ 2 สัปดาห์แล้ว ยังไร้วี่แววปมสังหารที่แท้จริงในคดีนี้ เนื่องจาก ตำรวจยังไม่สามารถติดตามจับกุมนายปทุม มือปืนเฒ่าวัย 76 ปีมาสอบสวนได้ ซึ่งคงต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกของระบบสืบสวนสอบสวนของตำรวจต่อไป แต่ในคดีนี้ มีประเด็นที่น่าสนใจไม่น้อยว่า "จ๊อด กองปราบ" เป็นใคร มาจากไหน ไฉนสื่อถึงให้ความสนใจนักหนา
       
       ในแวดวงนักสืบ ตั้งแต่ระดับนายใหญ่ มาจนถึงลูกแถว น้อยคนนักที่จะไม่รู้จักกิตติศัพท์ของ"จ๊อด กองปราบ" ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่างอดีตนายดาบตำรวจกองปราบ ที่ลาออกจากราชการด้วยมรสุมหลายด้าน ขอไปติดยศร.ต.ต. และเดินเข้าสู่เส้นทางการเมืองท้องถิ่น...เราจะพาไปรู้จักกับตัวตนของ"จ๊อด กองปราบ"กันสักตั้ง ว่าทำไม ตลอดชีวิตการทำงานด้านการสืบสวนของเขา จึงกลายเป็นตำนานให้เหล่านักสืบรุ่นหลังได้เล่าสู่กันฟังตลอดมา
       
       ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง เป็นชาวอ่างทองโดยกำเนิด ชีวิตในวัยเยาว์ฐานะทางบ้านค่อนข้างยากจน ด.ช.จ๊อด ต้องผันตัวไปพึ่งข้าวก้นบาตร ด้วยการเป็นเด็กวัดแปดแก้ว ต.หัวสะพาน อ.วิเศษชัยชาญ จ.อ่างทอง ผ่านการรับจ้างทั้งงานหนักงานเบา เพื่อหาเงินเรียนหนังสือ ไม่เว้นแม้กระทั่งขึ้นสังเวียนบนผืนผ้าใบแลกเอาเงินตราด้วยความเจ็บปวดในชื่อ"แดงพันธุ์ ลูกเจ้าพระยา" แต่เส้นทางกลิ่นเหงื่อสาปนวมไม่รุ่งเท่าที่ควร จนกระทั่งถึงวัยเกณฑ์ทหาร จึงตัดสินใจสอบเข้าเป็นนักเรียนพลตำรวจ ของโรงเรียนตำรวจนครบาลรุ่น 34 ที่ปัจจุบันมีเพื่อนร่วมรุ่นเป็นถึงพล.ต.อ.-พล.ต.ต. อย่างพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย รองผบ.ตร. พล.ต.อ.กฤษณะ ผลอนันต์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) และพล.ต.ต.ปราโมช ปทุมวงศ์ รองผบช.ปส. ที่ภายหลังเพื่อนร่วมรุ่นของเขาสอบเข้าเป็นนักเรียนนายร้อยตำรวจ (นรต.)รุ่น 26 ได้ ในขณะที่ตัวเขา เข้ารับราชการ และเติบโตไปตามครรลองของระบบ ภายใต้เส้นแบ่ง"ตำรวจชั้นประทวน"
       
       กองบังคับการสายตรวจและปฏิบัติการพิเศษ หรือ 191 เป็นหน่วยงานแรกภายในเครื่องแบบผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ของ"จ๊อด กองปราบ" โดยประจำอยู่แผนกอาวุธและอุปกรณ์พิเศษ อยู่ต่อมาไม่นานก็ได้ขึ้นชั้นเป็นหน่วยสวาท ทำหน้าที่เป็นสไนเปอร์ "มือสังหาร"!
       
       "จ๊อด กองปราบ" เคยเปิดใจกับ COP'S MAGAZINE ไว้ว่า สมัยเป็นสายตรวจอยู่ 191 ถ้ามีวิสามัญฯ เขารู้เลยว่า ใครทำ เพราะจะเลือกปราบปรามอย่างเด็ดขาด ทั้งแก๊งลักพระ ลักรถ จน"นาย"เห็นแววนักสืบ จึงดึงไปช่วยแผนกสืบสวนพิเศษ ผ่านประสบการจับตาย"ขุนโจรม้าขาว" ย้ง แซ่ฉั่ว รวมทั้งเป็นหนึ่งในทีมงานจับตาย"เสืออบ ขยันกิจ" มือปืนที่สังหารพ.ต.อ.ผู้หนึ่งเสียชีวิต "จ๊อด กองปราบ"โด่งดังสุดขีดเมื่อย้ายไปสังกัดแผนก 3 กก.3 ป. กับพ.ต.ท.ประสพโชค พร้อมมูล จนทั้งตำรวจ คนร้ายต่างรู้จักนาม ทั้งที่เพิ่งไปอยู่กองปราบได้ไม่นาน
       
       "จ๊อด กองปราบ" เคยร่วมงานกับนายตำรวจมือปราบหลายคน ทั้งเพื่อนรักนักเรียนพลฯร่วมรุ่นอย่างพล.ต.อ.จุมพล มั่นหมาย พล.ต.อ.ภาณุพงษ์ สิงหรา ณ อยุธยา พล.ต.ต.อังกูร อาทรไผท พล.ต.ต.สมพงษ์ คงเพชรศักดิ์ พล.ต.ต.กรีรินทร์ อินทร์แก้ว พล.ต.ต.ชัยวัฒน์ เกตุวรชัย รวมถึงพล.ต.ท.ชลอ เกิดเทศด้วย มีประสบการณ์ร่วมพิชิตคดีสำคัญมาอย่างโชกโชน ทั้งคดีอุ้มฆ่าคนตระกูล"ตั้งฮั้ว" เรืองกาญจนเศรษฐ์ คดีวิสามัญ"จ่าแดง" หัวโจกแก๊งลักรถ และคดีจับ"เสี่ยแดง" หลานหลวงพ่อคูณ ที่จ้างวานฆ่า"เสี่ยนาย"
       
       เจ้าตัวเคยเล่าประสบการณ์ปราบแก๊งลักจระเข้ในเมืองนครสวรรค์ที่ระบาดหนักในขณะนั้น ให้ฟังว่า หลังจากที่รู้ว่ารถคนร้ายสีดำ จำแต่เลขท้ายได้แค่ 88 เป็นชื่อจังหวัดยาวๆ ก็ไปไล่เช็กจนทราบว่าเป็นรถนิสสัน สีดำ ทะเบียน ...88 กำแพงเพชร แค่นั้น "รู้ชัดเจนขนาดนี้ ผมไม่ต้องรอสืบสวนออกหมาย ชอบทำงานแบบเฉียบขาดรวดเร็ว ถ้าอยู่บ้านก็เข้าไปเลย หิ้วขึ้นรถ บอกไปนั่งคุยกันหน่อย เดี๋ยวจะส่งกลับ พอขึ้นรถปุ๊ป ก็จับผูกตา แกล้งบอกกับลูกน้องว่า ถัง 200 ลิตร เตรียมไว้เรียบร้อยหรือยัง น้ำมันเตรียมหรือยัง ลูกน้องตอบเรียบร้อยแล้วครับ โอเค เดี๋ยวโยนลงถัง...เลย ผมขู่มันว่า รถทะเบียนกำแพงเพชร สีดำ ไปลักจระเข้ที่ไหนมา ตอนแรกเขาปฏิเสธ ผมตวาดว่า คนอื่นเอาไปแล้ว ไม่อย่างนั้นไม่รู้ทะเบียนรถหรอก ไม่เป็นไร รับรอด ไม่รับลงถัง 200 ลิตร นี่คือนโยบายผม เท่านั้นแหละ ครับพี่ บอกพี่...ได้ทั้งตัวคน ได้ทั้งจระเข้คืน ไม่ต้องซ้อมหรอก"
       
       เรื่องนี้ "มือปราบชาละวัน" พล.ต.ต.อังกู อาทรไผท เคยเขียนเกียรติประวัติ"จ๊อด กองปราบ"ไว้ว่า ตอนอยู่กองปราบได้รับฉายา"มือปราบชาละวัน"จากสื่อ เพราะจับกุมแก๊งลักจระเข้ได้ยกแก๊ง
     
  
       พล.ต.ต.อังกูรเล่าไว้ว่า "จ่าจ๊อดฯเป็นที่เกรงขามของพวกนักเลงและมือปืน โจรร้ายๆที่ไหนถ้าถูกชุดจ่าจ๊อดฯตามจับ มักจะไม่รอด ไม่รีบมอบตัวมีหวังตาย ทำให้พวกโจรห้าร้อยต้องวิ่งหาคนโน้นคนนี้ ฝากฝังกับจ่าจ๊อดฯ ทำให้ฐานการหาข่าวของจ่าจ๊อดฯกว้างขวาง ใครไปทำชั่วที่ไหนไม่เกิน 3 วันจ่าจ๊อดฯจะทราบ (แต่ที่ไม่ทราบจริงๆก็มี สรุปว่าเป็นตำรวจที่มีแหล่งข่าวมากคนหนึ่ง) ส่วนคนอื่นๆเช่น จ่าป๋อ,จ่ายศ,จ่าวัฒนะ,จ่ายืน พวกนี้พอได้รับคำสั่งแล้วไม่รีรอ สำหรับจ่าเชียรฯต้องยกให้ในความแม่นปืน ขนาดเพื่อนร่วมทีมกอดปล้ำอยู่กับโจร กลิ้งไปกลิ้งมา จ่าเชียรฯยิงทันที กระสุนไม่เคยพลายเป้า ชนิดเฉียดหัวเพื่อนไปเส้นยาแดง
       
       ฟาร์มจระเข้แถวจังหวัดอ่างทองถูกมือดีขโมยเข้ไปจำนวนนับร้อย งงเหมือนกันนับจำนวนได้ยังไง ไอ้เข้มันอยู่ในน้ำ และมันก็ไม่มีวินัยที่จะมาเรียงแถวให้เจ้าของนับ เดี๋ยวขึ้นบกเดี๋ยวลงน้ำอยู่ตลอดเวลา แต่ก็ต้องเชื่อ เจ้าของฟาร์มเขาจะรู้ ถ้าจระเข้หายไปจำนวนเป็นร้อยจะรู้ทันที แน่นอนการที่เข้หายเป็นร้อยต้องใช้เวลาขนหลายวัน เจ้าของฟาร์มจึงได้วางสายดักเฝ้า พวกโจรก็ฉลาด พอรู้ว่าทางเจ้าของจัดเวรยามแข็งขัน มันก็ไม่เข้าไปขโมย แต่ยามก็ได้ลักษณะรถยนต์ที่ต้องสงสัย เป็นรถยนต์ปิกอัพสีเทาดำติดฟิล์มมืด ทะเบียนจังหวัดอะไรก็ไม่ทราบ เห็นไม่ชัด รู้เพียงว่าตัวหนังสือเรียงแถวยาว จำหมายเลขได้แค่สองตัว ข้อมูลเพียงแค่นี้จ่าจ๊อดฯใช้เวลาเพียง 3 วัน สืบรู้ว่าเป็นแก๊งนครสวรรค์ อีก 2 วันต่อมา จ่าจ๊อดฯพร้อมทีมงานก็หิ้วทั้งแก๊ง 5 คน เข้าไปเก็บไว้ที่เซฟเฮาส์อยู่แถวเมืองทอง กทม. ใช้เวลาสอบสวนอยู่วันเต็มๆ รับสารภาพหมด ที่ทำสำเร็จได้ ก็เพราะ"จ่าจ๊อด" และ"มือปราบชาละวัน"ตัวจริง ก็คือ ร.ต.ต.กฤตสัณห์ จันทร์กระจ่าง"
       
       ช่วงชีวิตของการรับราชการ และในหน้าที่ของนักการเมืองท้องถิ่น "จ๊อด กองปราบ" ผ่านนาทีเฉียดตายมาหลายครั้ง โดยราวกลางปี 2531 ระหว่างไปปฏิบัติหน้าที่คุ้มกันระหว่างการหาเสียงเลือกตั้งให้นายสมชาย หรือเสี่ยแหย ฤกษ์วรารักษ์ เจ้าพ่อคนดังเมืองอ่างทอง ซึ่งระหว่างที่"เสี่ยแหย" เดินลงจากศาลอำเภอวิเศษชัยชาญ เสียงระเบิดก็ดังกึกก้องกัมปนาท ลูกน้องเสี่ยแหยเสียชีวิตทันที 3 ศพ ตัว"เสี่ยแหยะ รอดราวปาฎิหาริย์ แต่ว่ากันว่า ที่เสียแหยรอดชีวิตในครั้งนั้นมาได้ เป็นเพราะ "จ๊อด กองปราบ" บังวิถีสะเก็ตระเบิดไว้ ส่วนตัว"จ๊อด กองปราบ" ไฟลุกท่วมตัว ผมไหม้เกรียม ถูกสะเก็ตระเบิดราว 200 เม็ด แต่เพียงแค่ระคายผิว ไม่เข้าถึงเนื้อ กระนั้นก็ตาม "จ๊อด กองปราบ"ถึงกับต้องถ่ายเป็นเลือด เพราะช้ำในไปทั่วร่าง ต่อมาอีก 1 ปี (2532) "เสี่ยแหย"ก็ถูกระเบิดสังหารตายคาบันไดศาลจังหวัดนครราชสีมา ในวันครบรอบระเบิดสังหาร 1 ปีเต็มพอดีบพอดี แต่วันนั้น "จ๊อด กองปราบ"ไม่ได้ร่วมเดินทางไปด้วย
     

  
       หลังจากลาออกจากราชการ ก่อนเสียชีวิตไม่กี่เดือน "จ๊อด กองปราบ"ก็หวิดจวนเจียนถูกสังหาร เมื่อคนร้ายนำระเบิดสังหารไปวางไว้ที่ลานจอดรถบ้านของเขา และเกิดระเบิดขึ้นสนั่นหวั่นไหวในเวลา 04.30 น. ของวันที่ 15 ส.ค.2552 แรงระเบิดทำให้โรงจอดรถ ตัวบ้าน ห้องรับแขก และรถยนต์โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ หมายเลขทะเบียน ก-0543 อ่างทอง ป้ายแดง ถูกแรงระเบิดได้รับความเสียหายเกือบทั้งคัน โดยที่"จ๊อด กองปราบ"กับภรรยานอนอยู่บนบ้าน ไม่ได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
       
       ก่อนที่"จ๊อด กองปราบ"จะลาออกจากราชการ เขาถูกกล่าวหาจากหลายฝ่าย โดยเเฉพาะฝ่ายตรงข้ามว่า เป็นผู้ทรงอิทธิพล จนถูกย้ายด่วนไปยังพื้นที่ 3 จังหวัดทางภาคใต้มาแล้วถึง 2 ครั้ง จนกระทั่งในที่สุด ได้ตัดสินใจอำลาชีวิต"นายดาบตำรวจ" โดยได้รับยศ"ร.ต.ต."เป็นรางวัลปลอบขวัญตลอดการทำงานในเครื่องแบบมาเกือบทั้งชีวิต เบนเข็มชีวิตลงสมัครเป็นนักการเมืองท้องถิ่น และรับเหมาก่อสร้างเป็นอาชีพกับภรรยา ในทาวน์เฮาส์ขนาด 2 หลังติดกัน ในบ้านเกิดที่ต.บ้านอิฐ อ.เมือง จ.อ่างทอง
       
       "จ๊อด กองปราบ"เคยบอกไว้ว่า "เรื่องต่างๆ มีคนมาคุยมาเล่าให้ฟังเยอะ แต่รับฟังเฉยๆ ไม่รับรู้ ผมเป็นบุคคลสาธารณะ เป็นนักการเมือง ไม่มีหน้าที่สืบสวนจับกุมผู้กระทำความผิด จ๊อด กองปราบ กลายเป็นตำนานไปแล้ว อายุมากแล้วต้องวิ่งหาความสบาย ไม่ใช่วิ่งหาความลำบาก ถ้าทำแล้วได้ผลประโยชน์ อยู่สบายเราก็ทำ ให้รางวัลชีวิตในช่วงบั้นปลาย"
       
       วันนี้ ไม่มีทั้งร่าง ไม่มีทั้งวิญญาณ "จ๊อด กองปราบ"อีกต่อไป เราเชื่อว่า เหตุและปัจจัยทั้งปวง ล้วนมาจากผลแห่งการกระทำ แต่ไม่ใช่ ชีวิตจะต้องล้างด้วยชีวิตเสมอไป...
บก.ปคม.โชว์ปฏิทินหมายจับ 35 ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ตั้งรางวัลนำจับรายละ 2 หมื่น

บก.ปคม.โชว์ปฏิทินหมายจับ 35 ผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ ตั้งรางวัลนำจับรายละ 2 หมื่น



เมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 29 ธ.ค. ที่กองบังคับการปราบปรามการค้ามนุษย์ (บก.ปคม.) ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ ถ.แจ้งวัฒนะ พล.ต.ต.กรไชย คล้ายคลึง ผบก.ปคม. เปิดเผยการจัดทำปฏิทินหมายจับคดีความผิดค้ามนุษย์ ประจำปี 2560 ว่า สืบเนื่องจากนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาการค้ามนุษย์ พร้อมประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ เช่นเดียวกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยพล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา ผบ.ตร. กำหนดนโยบายหลายด้านและหนึ่งในนั้น คือ เร่งรัดติดตามจับกุมผู้ต้องหาคดีค้ามนุษย์ และความผิดเกี่ยวเนื่องตามหมายจับคดีค้างเก่า จึงได้จัดทำปฏิทินหมายจับ ปี 2560

โดยคัดเลือกหมายจับผู้ต้องหาในคดีเครือข่ายค้ามนุษย์ที่สำคัญ จำนวน 35 ราย แยกเป็นคดีค้ามนุษย์ 16 หมาย, หลอกลวงไปทำงานต่างประเทศ จำนวน 9 ราย, คดีแสวงหาประโยชน์จากการค้าประเวณี 5 หมาย, คดีบังคับใช้แรงงานในเรือประมง 3 หมาย และคดีความผิดที่เกี่ยวเนื่อง (กระทำชำเราเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ซึ่งไม่ใช่ภริยาหรือสามีของตนฯ) จำนวน 2 หมาย
พล.ต.ต.กรไชย กล่าวต่อว่า สำหรับปฏิทินดังกล่าวจัดทำขึ้นทั้งสิ้น 10,000 แผ่น เพื่อนำไปติดยังสถานที่ต่างๆ เช่น สถานีตำรวจ ที่ว่าการอำเภอ ด่าน ตม.ต่างๆ สถานีขนส่งในหลายจังหวัดทั่วประเทศ เพื่อช่วยย้ำเตือนเจ้าหน้าที่ท้องที่ หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และแสวงหาความร่วมมือจากประชาชน ว่าถ้าท่านเห็นช่วยแจ้งเราด้วย เพราะบุคคลเหล่านี้ คือบุคคลที่จะต้องถูกดำเนินคดี และเข้ามาสู่กระบวนการยุติธรรม โดยผู้ที่แจ้งเบาะแสจนไปสู่การจับกุมจะมีรางวัลให้รายละ 20,000 บาท ซึ่งป็นเงินงบประมาณจากกองทุนของ บก.ปคม